เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์
เรื่องลึกลับแห่งจักรวาล
เคยมีใครแอบคิดสงสัยกันเล่นๆบ้างไหมคะ ว่าโลกของเราใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร และโลกเราเป็นดาวหนึ่งเดียวในจักรวาลเท่านั้นหรือที่มีสิ่งมีชีวิต?
ไม่ใช่เพียงแค่เราๆท่านๆหรอกคะที่สงสัย เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็กำลังให้ความสนใจในการหาคำตอบอยู่เช่นกัน ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเซิร์น (CERN) ที่เขาจับเอาอนุภาคมาวิ่งวนเป็นวงกลม เร่งจนเข้าใกล้ความเร็วแสงแล้วบังคับให้มันชนกันตูมตามสนั่นหวั่นไหว การทดลองอันแสนเสี่ยงนี้ก็เพื่อที่จะหาคำตอบของ “กำเนิดจักรวาล” เช่นกันคะ
ภาพลายเส้นนาซกา "นักบินอวกาศ"
เพราะถ้าลองดูตำนานการสร้างโลกในอารยธรรมโบราณต่างๆทั้งอียิปต์ เมโสโปเตเมีย อเมริกาโบราณ พระคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งชนเผ่าอื่นๆในโลกโบราณแล้วก็จะเห็นว่า ณ จุดเริ่มต้นของการกำเนิดโลกล้วนมีแต่ความว่างเปล่า หลังจากนั้นพระเจ้าจึงเริ่มรังสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา ตามวิถีของแต่ละอารยธรรม แต่ที่แน่ๆทุกชนเผ่ากล่าวถึง “พระเจ้า” ทั้งสิ้น
ภาพสลักคล้ายอากาศยานในวิหารของฟาโรห์เซติที่ 1
ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากศูนย์จริงๆคะ เพราะจุดเริ่มต้นของเอกภพเมื่อ 14,000 ล้านปีที่แล้วก็มีขนาดเล็กเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น แต่เมื่อ “พระเจ้า” ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทำให้เกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบงขึ้น เอกภพก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อนุภาคมูลฐานต่างๆเกิดขึ้นมากมาย จนสุดท้ายส่วนหนึ่งของมันก็ได้กลายมาเป็นบรรดาดวงดาวและโลกของเราในวันนี้
ถ้าเช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า “โลก” ไม่ได้เป็นดาวเพียงแค่ดวงเดียวในเอกภพที่มีสิ่งมีชีวิตอันแสนชาญฉลาดอาศัยอยู่ เพราะดวงดาวทั้งหมดในเอกภพ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นคงจะมีเป็นหลักพันล้านดวงหรือมากกว่านั้น
แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นที่มีวิทยาการก้าวหน้ากว่าเราจะเคยเดินทางมายังโลกของเราเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เพื่อถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับบรรพบุรุษ!? ครั้งนี้เราจะมาตามหาหลักฐานต่างๆของ “เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์” กันคะ
ภาพปริศนา คล้ายมนุษย์ต่างดาวบนผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี
สถานที่แห่งแรกที่อยากจะพาให้ทุกๆท่านได้ไปรับชมกันก็คือภาพวาดผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี (Kimberly Mountain) ทางตะวันตกของออสเตรเลีย เมื่อลองเพ่งพินิจพิจารณาภาพที่ปรากฏบนผนังถ้ำก็จะพบว่าแทนที่จะเป็นภาพของมนุษย์กำลังล่าสัตว์ หรือภาพสัตว์ป่าทั่วไปดังที่เราคุ้นเคย ชนเผ่าอะบอริจิน (Aborigine) แห่งออสเตรเลียกลุ่มนี้กลับวาดภาพของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดที่มีศีรษะกลมและมีดวงตาสีดำคู่ใหญ่ประดับอยู่ ชวนให้คิดถึง “เกรย์” (Grey) หรือมนุษย์ต่างดาวที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันเคยประสบพบเห็นกันเป็นอย่างมาก นักวิชาการเรียกภาพวาดเหล่านี้ว่า “แวนด์จินา” (Wandjina) ซึ่งชนเผ่าอะบอริจินนับถือเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของก้อนเมฆและฝน ภาพวาดเหล่านี้คาดว่าน่าจะวาดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นถึงสามหมื่นปีมาแล้ว
จากนั้นเราข้ามทะเลมายังดินแดนทวีปแอฟริกากันบ้างคะ ในทะเลทรายซาฮาร่า ถ้ำในภูเขาทัสซีลี (Tassili) ทางตอนเหนือของแอฟริกาปรากฏภาพวาดอายุร่วมแปดพันปีของสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เหมือนมนุษย์แต่มีศีรษะกลมเกลี้ยงคล้ายกับว่าสวมหมวกของชุดอวกาศอยู่ก็ไม่ปาน อีกทั้งเมื่อลองมองไปที่มุมขวาบนของภาพนักบินอวกาศโบราณแห่งแอฟริการ่างนี้แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นภาพของวงรีปริศนาคล้ายจานบินปรากฏอยู่เคียงกัน ซึ่งยังไม่มีใครให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลของภาพวาดปริศนานี้ได้อย่างแน่ชัดเลยสักราย
ลายเส้นนาซกา ต้องมองจากบนฟ้าจึงจะเห็นเป็นภาพ
แต่ภาพลายเส้นที่ต้องมองจากบนฟากฟ้าก็ไม่ได้มีเพียงแต่นาซกาที่เดียว ข้ามทวีปจากเปรูมายังอังกฤษกันบ้างก็จะพบว่ามีลายเส้นที่คล้ายคลึงกับนาซกาเช่นกันคะ ภาพที่ว่าได้รับการตั้งชื่ออย่างเสนาะหูว่า “อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์” (Berk-shire White Horse) ซึ่งมีความเก่าแก่ถึงช่วงยุคเหล็กของอังกฤษหรือเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนคริสต์กาลเลยทีเดียวคะ เนินเขาที่อาชาขาวรูปนี้ปรากฏอยู่เป็นเนินหินชอล์ก ซึ่งวิธีการวาดภาพก็เพียงแค่ถอนต้นหญ้าออกจากบริเวณที่ต้องการสร้างลวดลาย เผยให้เห็นหินชอล์กสีขาวด้านล่าง แต่จุดที่สำคัญก็คือประเพณีการถอนหญ้านี้ต้องสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รูปจำหลักยังคงปรากฏอยู่ต่อไป
คนที่รังสรรค์ลายเส้นนาซกาและอาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์คงจะหนีไม่พ้นชนเผ่าพื้นเมืองในบริเวณนั้นๆ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาสร้างรูปเหล่านี้ขึ้นมาให้ใครดูกัน!? ถ้าภาพต่างๆเหล่านี้ มองเห็นได้จากฟากฟ้าเท่านั้น
อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์ที่มองเห็นได้จากมุมสูงเท่านั้น
ก็ไม่แน่นะคะ ใครจะไปรู้ว่าเอกภพอันยิ่งใหญ่ของเราอาจจะเป็นผลลัพธ์ในการทดลองยิงอนุภาคความเร็วเฉียดแสงในห้องทดลองของใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกลก็เป็นได้ เพราะยังไม่มีใครทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในสมัยโบราณ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือประเด็นพิศวงต่างๆล้วนเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกเสมือนว่ามีใครสักคนมาสอนให้มนุษย์ทั่วโลกทำในสิ่งเดียวกันยังไงยังงั้น
ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/02/blog-post_5474.html#ixzz3e8cskVIR