วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เพชรโฮป (Hope Diamond)

เพชรโฮป (Hope Diamond)




           เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป! และก็จริงตามคําสาปครับ นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และ พระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด






         กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุดทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์
เรื่องลึกลับแห่งจักรวาล

      เคยมีใครแอบคิดสงสัยกันเล่นๆบ้างไหมคะ ว่าโลกของเราใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร และโลกเราเป็นดาวหนึ่งเดียวในจักรวาลเท่านั้นหรือที่มีสิ่งมีชีวิต?




 ไม่ใช่เพียงแค่เราๆท่านๆหรอกคะที่สงสัย เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็กำลังให้ความสนใจในการหาคำตอบอยู่เช่นกัน ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเซิร์น (CERN) ที่เขาจับเอาอนุภาคมาวิ่งวนเป็นวงกลม เร่งจนเข้าใกล้ความเร็วแสงแล้วบังคับให้มันชนกันตูมตามสนั่นหวั่นไหว การทดลองอันแสนเสี่ยงนี้ก็เพื่อที่จะหาคำตอบของ “กำเนิดจักรวาล” เช่นกันคะ

ภาพลายเส้นนาซกา "นักบินอวกาศ"

      เพราะถ้าลองดูตำนานการสร้างโลกในอารยธรรมโบราณต่างๆทั้งอียิปต์ เมโสโปเตเมีย อเมริกาโบราณ พระคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งชนเผ่าอื่นๆในโลกโบราณแล้วก็จะเห็นว่า ณ จุดเริ่มต้นของการกำเนิดโลกล้วนมีแต่ความว่างเปล่า หลังจากนั้นพระเจ้าจึงเริ่มรังสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา ตามวิถีของแต่ละอารยธรรม แต่ที่แน่ๆทุกชนเผ่ากล่าวถึง “พระเจ้า” ทั้งสิ้น


ภาพสลักคล้ายอากาศยานในวิหารของฟาโรห์เซติที่ 1

     ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากศูนย์จริงๆคะ เพราะจุดเริ่มต้นของเอกภพเมื่อ 14,000 ล้านปีที่แล้วก็มีขนาดเล็กเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น แต่เมื่อ “พระเจ้า” ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทำให้เกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบงขึ้น เอกภพก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อนุภาคมูลฐานต่างๆเกิดขึ้นมากมาย จนสุดท้ายส่วนหนึ่งของมันก็ได้กลายมาเป็นบรรดาดวงดาวและโลกของเราในวันนี้

ถ้าเช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า “โลก” ไม่ได้เป็นดาวเพียงแค่ดวงเดียวในเอกภพที่มีสิ่งมีชีวิตอันแสนชาญฉลาดอาศัยอยู่ เพราะดวงดาวทั้งหมดในเอกภพ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นคงจะมีเป็นหลักพันล้านดวงหรือมากกว่านั้น




      แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นที่มีวิทยาการก้าวหน้ากว่าเราจะเคยเดินทางมายังโลกของเราเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เพื่อถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับบรรพบุรุษ!? ครั้งนี้เราจะมาตามหาหลักฐานต่างๆของ “เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์” กันคะ

                                ภาพปริศนา คล้ายมนุษย์ต่างดาวบนผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี
     สถานที่แห่งแรกที่อยากจะพาให้ทุกๆท่านได้ไปรับชมกันก็คือภาพวาดผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี (Kimberly Mountain) ทางตะวันตกของออสเตรเลีย เมื่อลองเพ่งพินิจพิจารณาภาพที่ปรากฏบนผนังถ้ำก็จะพบว่าแทนที่จะเป็นภาพของมนุษย์กำลังล่าสัตว์ หรือภาพสัตว์ป่าทั่วไปดังที่เราคุ้นเคย ชนเผ่าอะบอริจิน (Aborigine) แห่งออสเตรเลียกลุ่มนี้กลับวาดภาพของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดที่มีศีรษะกลมและมีดวงตาสีดำคู่ใหญ่ประดับอยู่ ชวนให้คิดถึง “เกรย์” (Grey) หรือมนุษย์ต่างดาวที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันเคยประสบพบเห็นกันเป็นอย่างมาก นักวิชาการเรียกภาพวาดเหล่านี้ว่า “แวนด์จินา” (Wandjina) ซึ่งชนเผ่าอะบอริจินนับถือเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของก้อนเมฆและฝน ภาพวาดเหล่านี้คาดว่าน่าจะวาดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นถึงสามหมื่นปีมาแล้ว
จากนั้นเราข้ามทะเลมายังดินแดนทวีปแอฟริกากันบ้างคะ ในทะเลทรายซาฮาร่า ถ้ำในภูเขาทัสซีลี (Tassili) ทางตอนเหนือของแอฟริกาปรากฏภาพวาดอายุร่วมแปดพันปีของสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เหมือนมนุษย์แต่มีศีรษะกลมเกลี้ยงคล้ายกับว่าสวมหมวกของชุดอวกาศอยู่ก็ไม่ปาน อีกทั้งเมื่อลองมองไปที่มุมขวาบนของภาพนักบินอวกาศโบราณแห่งแอฟริการ่างนี้แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นภาพของวงรีปริศนาคล้ายจานบินปรากฏอยู่เคียงกัน ซึ่งยังไม่มีใครให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลของภาพวาดปริศนานี้ได้อย่างแน่ชัดเลยสักราย


ลายเส้นนาซกา ต้องมองจากบนฟ้าจึงจะเห็นเป็นภาพ 

แต่ภาพลายเส้นที่ต้องมองจากบนฟากฟ้าก็ไม่ได้มีเพียงแต่นาซกาที่เดียว ข้ามทวีปจากเปรูมายังอังกฤษกันบ้างก็จะพบว่ามีลายเส้นที่คล้ายคลึงกับนาซกาเช่นกันคะ ภาพที่ว่าได้รับการตั้งชื่ออย่างเสนาะหูว่า “อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์” (Berk-shire White Horse) ซึ่งมีความเก่าแก่ถึงช่วงยุคเหล็กของอังกฤษหรือเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนคริสต์กาลเลยทีเดียวคะ เนินเขาที่อาชาขาวรูปนี้ปรากฏอยู่เป็นเนินหินชอล์ก ซึ่งวิธีการวาดภาพก็เพียงแค่ถอนต้นหญ้าออกจากบริเวณที่ต้องการสร้างลวดลาย เผยให้เห็นหินชอล์กสีขาวด้านล่าง แต่จุดที่สำคัญก็คือประเพณีการถอนหญ้านี้ต้องสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รูปจำหลักยังคงปรากฏอยู่ต่อไป
คนที่รังสรรค์ลายเส้นนาซกาและอาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์คงจะหนีไม่พ้นชนเผ่าพื้นเมืองในบริเวณนั้นๆ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาสร้างรูปเหล่านี้ขึ้นมาให้ใครดูกัน!? ถ้าภาพต่างๆเหล่านี้ มองเห็นได้จากฟากฟ้าเท่านั้น


อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์ที่มองเห็นได้จากมุมสูงเท่านั้น

      ก็ไม่แน่นะคะ ใครจะไปรู้ว่าเอกภพอันยิ่งใหญ่ของเราอาจจะเป็นผลลัพธ์ในการทดลองยิงอนุภาคความเร็วเฉียดแสงในห้องทดลองของใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกลก็เป็นได้ เพราะยังไม่มีใครทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในสมัยโบราณ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือประเด็นพิศวงต่างๆล้วนเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกเสมือนว่ามีใครสักคนมาสอนให้มนุษย์ทั่วโลกทำในสิ่งเดียวกันยังไงยังงั้น
ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/02/blog-post_5474.html#ixzz3e8cskVIR

กลุ่มหินประหลาด สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )
ไขปริศนา ลึกลับ สโตนเฮนจ์ กลุ่มหินปริศนา สร้างมาเพื่ออะไร? 


           สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge ) หนึ่งในโบราณสถานลึกลับที่ยังคงหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ ว่าใครเป็นผู้สร้าง? สร้างเพื่ออะไร? สร้างได้อย่างไร? แต่ก่อนอื่น เราลองมาทำความรู้จักกับกลุ่มแท่งหินปริศนานี้กันดีกว่าค่ะ


        สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบกว้างใหญ่ในบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน




       สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว




      สโตนเฮนจ์ ตั้งอยู่กลาง "ทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี่" (Salisbury Plain) บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะบริเวณโดยรอบนั้นไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นใดเลย มีจำนวนแท่งหินทั้งหมด 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง และวางเรียงในลักษณะที่ต่างกัน ทั้งวางนอน วางพาดกัน และวางตั้งขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณอายุของหินกลุ่มนี้ พบว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3,000–2,000 ปีก่อนคริสตกาลนู่นเลย สรุปคืออายุกว่า 5,000 ปีแล้ว!



      การก่อสร้างสโตนเฮนจ์ใช้เวลาสร้างต่อเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี คำนวนจากการที่หินแต่ละก้อน แต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน มาจากต่างยุคกัน ตั้งแต่ยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้น สิ่งที่น่าสงสัยคือ บริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้อยู่เลย ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" (Marlborough Downs) ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร และยังมีหินสีน้ำเงินหนักสี่ตัน ซึ่งพบได้บริเวณภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์ (สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก)

      เรื่องน่าพิศวงต่อมาคือ คนในยุคนั้นเขาเอาอะไรมายกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน แถมยังต้องลากมาจากสถานที่อื่นอันห่างไกล ดูแล้วสมัยนั้นไม่น่ามีเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน? ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ต้องนำหินมาขัดแต่งให้มีความเหลี่ยม ความมน มีสลัก และเดือยซึ่งจะทำให้หินพาดกันได้อย่างพอดี มีความมั่นคง กล่าวกันว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลก โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการสร้าง บ้างก็ว่าเป็นผลงานศิลปะของยักษ์ในยุคก่อน      

     วงหินสโตนเฮนจ์ก็อาจจะเป็นวิหารสำหรับทำพิธีบวงสรวงดังกล่าว ไม่นานมานี้ มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งได้อ้างว่าสามารถถอดรหัสแนวหินได้เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวญยุคก่อน


     ประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทฤษฏีทั้งหลายในปัจจจุบันจะมีตัวเลขและสถิติสนับสนุนว่าเป็นจริง แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งออีตของสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์
เครดิตข้อมูลและรูปภาพสวย ๆ จาก
www.wikipidia.org  www.manager.co.th www.publichot.com 
 www.rogerswebsite.com www.bouletfermat.com  www.preanicworld.com

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปลุกตำนาน : มหาพีระมิดแห่ง Giza
พีระมิด มหาศรัทธาอันยิ่งใหญ่ 
หรือ วิวัฒนาการจากนอกโลก



     ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 ด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี


      ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาปิรามิด
     - ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว


     - ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
       ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง

ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว
ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน
ที่มาPermalink : http://www.oknation.net/blog/oleang
สุสานเทพเจ้า อาณาจักรโคมายานา
ดินเเดนอารยธรรมสุดพิศวง ในตุรกี

สุสานเทพเจ้า อาณาจักรโคมายานา ดินเเดนอารยธรรมสุดพิศวง ในตุรกี

ซากปรักหักพัง อาณาจักรโคมายานา บนหุบเขาเทพเจ้า  บนยอดเขาเนมรุต ตุรกี โดยซากปรักหักพังดังกล่าว คือสุสานเทพเจ้าแห่งนี้สร้างโดยกษัตริย์ Antiochos I ซึ่งครองราชย์ช่วงปี 69-31 ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นเทพเจ้าที่เเสนพิศวง บ่งบอกถึงวัฒนธรรม ของดินเเดนเมโสโปเตเมียในอดีต 



                          สุสานเทพเจ้า อาณาจักรโคมายานา ดินเเดนอารยธรรมสุดพิศวง ในตุรกี


       ภูเขาเนมรุต ประเทศตุรกี ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาไฟมาก่อน มีความสูงประมาณ 2,134 เมตร ไปเที่ยวชมปากปล่องภูเขาไฟที่ตอนนี้เป็นแอ่งกระทะสวยงามมีน้ำเป็นทะเลสาปสวยๆ ได้ ภูเขาลูกนี้เป็นที่ตั้งของสุสานกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคมายานา (Commagene Kingdom) สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้คือรูปสลักขนาดใหญ่จำนวนมาก เราอาจจะเห็นเป็นเศียรเทพเจ้าจำนวนมากตั้งอยู่ตามพื้น ก็เป็นเรื่องของกาลเวลานะคะที่ทำให้เศียรเทพร่วงลงพื้น ขนาดแค่เศียรอย่างเดียวก็มีความสูงถึง 2 เมตร เพราะฉะนั้นถ้าเต็มทั้งองค์เทพ ต้องแหงนดูกันคอตั้งเลย 

          หุบเขาเทพเจ้าแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักขอเรียงว่าระเบียง 3 ด้าน คือด้านทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก




      ระเบียงฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกประกอบด้วยแถวของหินสลักเทพเจ้าขนาดใหญ่ที่สลักจากเนื้อหินของภูเขา ส่วนระเบียงทางทิศเหนือไม่มีรูปสลักเหมือนอีกสองฝั่ง คาดว่าเป็นที่ชุมนุมในช่วงที่มีการประกอบพิธี ไม่มีร่องรอยของการสร้างสิ่งอื่นใดในเขตบริเวณนี้นี่คือระเบียงฝั่งตะวันตก

      ระเบียงฝั่งตะวันออกอยู่ในสภาพดีกว่าฝั่งตะวันตก รูปสลักหินส่วนลำตัวยังนั่งอยู่บนบัลลังค์ ความสูง 8-10 เมตร แต่ส่วนเศียรร่วงลงมา แต่ถูกจับเรียงตั้งขึ้นเป็นแถว ซึ่งส่วนเศียรก็มีความสูง 2 เมตร

      รูปสลักหินทั้งหมดจากที่รวบรวมไว้ได้มี สิงโต นกอินทรี ซึ่งสัตว์ 2 ชนิดนี้มีหน้าที่คุ้มคองทุกสิ่งบนหุบเขา รูปสลักหินกษัตริย์ Antiochos I, เทพีโคมายานา, ซุส-อารามาสต์, เทพอาร์เมเนียน, สุริยเทพอะพอลโลม เทพเฮอร์คิวลิส
ที่มา : atcloud.com/stories/109768

“ประตูสู่นรก” ( Door to Hell )

  The Door to Hell ประตูสู่นรกแห่งเติร์กเมนิสถาน

      ใครกลัวการไปเยือนนรกบ้างคะ? คงเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจเป็นอย่างมาก ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสไปเยือนสถานที่สุดสยองขวัญ ดินแดนแห่งความตาย หรือที่ใครๆต่อใครต่างเรียกขานว่า "ประตูสู่นรก" หรือ "ประตูสู่ความตาย" อ่านแค่ชื่อก็รู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวกันแล้วนะคะ แล้วใครหาญกล้าไปท้าความตายกันเล่า!!... 




        ประตูสู่นรก (The Door to Hell) แหล่งท่องเที่ยวใหม่ของประเทศเติร์กเมนิสถาน (Turkmenistan) เป็นหลุมไฟขนาดมหึมากลางทะเลทรายคาราคุม (Karakum Desert) ที่คุกรุ่นต่อเนื่องมานานกว่า 4 ทศวรรษแล้ว ปัจจุบันประตูสู่นรกแห่งเติร์กเมนิสถานกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาเที่ยวชมความสวยงามของหลุมขนาดใหญ่กลางทะเลทรายที่มีไฟลุกไหม้ตลอดเวลา ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น Door to Hell หรือ ประตูสู่นรก 



      ประตูสู่นรกแห่งเติร์กเมนิส ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1971 หลังจากแท่นขุดเจาะน้ำมันของนักวิทยาศาสตร์โซเวียต ที่ถูกปล่อยให้รกร้างมานาน จนกระทั่งกิดพังถล่มลงมาจนกลายเป็นหลุมที่มีไฟลุกไหม้ และไม่มีทีท่าที่จะมอดดับ จนกระทั่งกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและได้รับการกล่าวขานไปทั่วโลกดังเช่นในปัจจุบันนี้ค่ะ 


      หลุมดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากนักธรณีวิทยาโซเวียต พยายามขุดหาแหล่งก๊าซธรรมชาติ เมื่อปี 1971 แต่พื้นดินเหนือบริเวณขุดเจาะกลับพังถล่ม จนเกิดหลุมขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 70 เมตร และพบมีแก๊ซพิษฟุ้งกระจาย จึงตัดสินใจจุดไฟเผา ซึ่งแรกเริ่มคาดว่าจะดับลงได้เองภายในเวลา 1-2 วัน แต่ไม่เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ เพราะเปลวเพลิงยังคงสว่างไสวอยู่จนถึงปัจจุบัน
ที่มา : www.baanmaha.com › ... › คลังความรู้ › วิทยาศาสตร์

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปริศนาอัศจรรย์ครอปเซอร์เคิล (Crop circles)
สัญลักษณ์จากห้วงจักรวาล ?


      ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายๆประเทศทางแถบยุโรป และที่ต่างๆทั่วโลก ปัจจุบันนี้มีการรายงานการเกิด Crop circles ใน 29 ประเทศ เป็นปรากฏการณ์ที่ถือว่าไม่ธรรมดามากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปแบบ วิธีการ ขนาด ระยะเวลาการเกิด และผู้สร้าง ล้วนเป็นความลับ ให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ และนักคาดเดาต่างต้องทำงานกันอย่างหนัก แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ใกล้ความเป็นจริง ที่จะเฉลยปริศนานี้ได้ 

       
       Crop circles (ครอปเซอร์เคิล) เกิดเป็นรูปร่างโดยธัญพืชที่มีแปลงเพาะปลูกขนาดใหญ่นั้น ได้ล้มลงเป็นจำนวนมาก เกิดลวดลายขึ้น ตัดกับส่วนที่ยังตั้งอยู่ จึงเห็นเป็นลวดลายชัดเจน โดยมีรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อน สวยงาม เป็นระเบียบ ส่วนใหญ่มีวงกลมเป็นหลัก และประกอบด้วยรูปทรงเรขาคณิตอีกหลากหลาย และมีขนาดใหญ่มาก ไม่สามารถมองดูได้จากพื้นดินธรรมดา แต่เมื่อมองจากมุมสูงจึงจะเห็นเป็นลวดลายชัดเจน เป็นลักษณะของสัญลักษณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติโดยเฉพาะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้นการสร้างจึงต้องใช้เทคนิคและเทคโนโลยี่ขั้นสูงมากๆ จึงจะสามารถทำได้ ดังนั้นจึงมีคำถามว่า คือ ใครเป็นคนทำ ทำได้อย่างไร ใช้อะไรในการทำ และทำเพื่ออะไร


      Crop circles เป็นสิ่งที่ถูกจัดสร้างได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลก ซึ่งปรากฏการณ์นี้ น่าจะเป็นผลจากพลังงานที่กระทำกับสิ่งมีชีวิตบนโลกซึ่งก็คือต้นธัญพืช พลังงานเหล่านี้ประกอบไปด้วย แสง เสียงและ คลื่นแม่เหล็ก ใน AUSTRALIA และ BRITISH COLUMBIA ผู้พบเห็นได้กล่าวว่า Crop Circle นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงแค่ 20 วินาที พวกเขาได้อธิบายถึง ลูกบอลเรืองแสงที่มีสีสันจากความร้อนได้เกิดขึ้นก่อนการเกิด Crop Circles ในบางโอกาส มีลำแสงพุ่งลงมายังท้องทุ่ง และได้ทำให้ต้นธัญพืชโค้งงอและจัดเรียงตัวเป็นรูปทรงเรขาคณิตภายในเวลาน้อยกว่า 15 วินาที ส่วนใหญ่คนที่เห็นเหตุการณ์นี้จะเป็นพวกเกษตรกร


    ต้นไม้เหล่านี้ดูเหมือนจะถูกกระทำจากความร้อนที่ร้อนในช่วงเวลาสั้นๆซึ่งจะทำให้ต้นพืชนั้นอ่อนตัวลงและก็งอเป็นมุม 90 องศาโดยที่การงอนั้นคงเดิมและไม่ทำให้เกิดการเสียหายกับต้นพืช นักพฤกษศาสตร์ได้งุนงงกับการเกิดปรากฏการณ์นี้และได้สนับสนุนแนวคิดนี้ เนื่องจากดูเหมือนจะเป็นแนวคิดเดียวที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ แต่จากหลายๆการค้นคว้าและทดลองได้ค้นพบว่า Infrasound (เสียงที่ต่ำกว่า 20 Hz) นั้นก็สามารถที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้เช่นกัน Infrasound ที่มีความดันสูง สามารถที่จะทำให้น้ำเดือดได้ภายในเวลาเพียงแค่ 1 นาโนวินาที ซึ่งก็ตรงกับคำพูดของเกษตรกรผู้เห็นเหตุการณ์ว่าได้เห็นไอควันลอยขึ้นจาก Crop Circles 




      วงกลมประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบ เหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี วงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 200 เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นาบริเวณ นั้นเป็นอย่างมาก มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถาม ของคร็อพเซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ แค่นั้นเองก็ได้ คงไม่มีวันรู้
ที่มา : www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&date=04...
โอเรกอน วอร์เท็กซ์ OREGON VORTEX 
บ้านปริศนาแห่งพลังงาน 


โอเรกอน วอร์เท็กซ์
      พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมีโรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาด เหล่านี้สู่โลกแห่งความจริงที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้ 




       Vortex โอเรกอนเป็นซอกหลืบแห่งความลึกลับของโลกที่แปลกที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในชีวิตประจำวันปกติ และข้อเท็จจริงทางกายภาพจะกลับกัน มันเป็นพื้นที่ของธรรมชาติที่เกิดขึ้นปรากฏการณ์ทางกายภาพและการรับรู้ซึ่งสามารถจับบนโดยการถ่ายรูป 



ไม่ว่าจะเป็นภาพหลวงตาที่เกิดขึ้นจากการหักเหของแสง หรือแรงโน้มถ่วง หรือแนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน 


ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้

ที่มา : allmysteryworld.blogspot.com/.../oregon-vortex-gold-hill-oregon.html

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เนสซี (Nessie) สัตว์ลึกลับ
ในตำนานทะเลสาปล็อคเนส



     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีช่างภาพวัย 62 ปี จากเมืองไอร์ไซร์ได้บันทึกภาพ สัตว์ลึกลับในตำนานอย่าง เนสซี (Nessie) แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์ ตอนเหนือของแคว้นสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร หากเราดูแบบผิวเผินแล้วจะเห็นเป็นเพียงเงาคลื่นดำมืดในท้องทะเล  แต่เมื่อสำรวจภาพก็ได้สรุปว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีส่วนหลัง และหางโผล่ขึ้นมาเหนือผืนน้ำ ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีกครั้งว่า นี่คือสัตว์ในตำนานอย่างเนสซี ใช่หรือไม่

วิลเลี่ยม โจบส์ ผู้บันทึกภาพ เนสซี สัตว์ลึกลับในตำนานทะเลสาปล็อคเนส 

      ในตอนแรกมันโผล่หัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แต่ขณะนั้นไม่สามารถจับภาพได้ทัน ตอนแรกผมก็คิดว่ามันเป็นแมวน้ำแต่เมื่อมองที่หัวของมัน คล้ายกับหัวของแกะ ก่อนที่มันจะดำลงไปใต้น้ำ แล้วโผล่ส่วนหลังให้เห็น แล้วจับภาพได้อย่างที่เห็น" เขากล่าว
     โจบส์ ยังบอกอีกว่าได้ยินเสียงน้ำกระเซ็น คล้ายกับว่ามีสิ่งมีชีวิตสีดำขนาดใหญ่อยู่ใต้น้ำ สิ่งที่เห็นสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก


    นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า บนโลกใบนี้ยังมีความลึกลับ มีความอัศจรรย์ของสิ่งที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อนอีกมากมาย เมื่อไม่รู้ ใคร่รู้ จึงหาคำตอบ.. อะไรทำให้มนุษย์สนใจเรื่องราวเหล่านี้ นั่นอาจเป็นเพราะว่า มีความพยายามเชื่อมโยงว่า เนสซี ในตำนานทะเลสาปล็อคเนสคือสิ่งที่หลงเหลือมาจาก ไดโนเสาร์ สัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ โดยการใช้จุดกำเนิดของล็อกเนสส์ หรือ ทะเลสาบเนสส์ (Loch Ness - loch แปลว่า ทะเลสาบ)
ที่มา : www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id...

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โคมไฟที่ไม่มีวันดับมากว่าพันปี
Ever-Burning Lamps




โคมไฟที่มีการเผาไหม้โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงใดๆ ที่ถูกค้นพบทั่วโลกในช่วงยุคกลาง โดยโคมไฟเหล่านี้ถูกปิดผนึกอยู่ในหลุมฝังศพเพื่อที่จะให้แน่ใจว่าผู้ตายนั้นมีแสงสว่างเพื่อให้พวกเขาใช้เป็นแสงนำทางไปพบกับชีวิตใหม่หลังความตายตามความเชื่อของแต่ละพื้นที่ สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ โคมไฟเหล่านี้ถูกจุดขึ้นมาในตอนที่ฝังศพ ซึ่งเมื่อผ่านมาหลายร้อยปี และมีการค้นพบหลุมศพ โคมไฟพวกนี้ก็ยังคงจุดสว่างไม่ได้ดับไปตามกาลเวลา ที่สำคัญ มันไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงใดๆ!!-



ในประมาณปี 1540 ในระหว่างที่ สมเด็จพระสันตะปาปา Paul ที่ III ค้นพบหลุมฝังศพบนเส้นทาง Appian Way ที่กรุง Rome ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นหลุมศพของ Tulliola ลูกสาวของ Cicero และเธอเสียชีวิตไปใน 44 ปีก่อนคริสตศักราช...
โคมไฟที่มีพบในหลุมศพนั้น ยังมีการเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ผ่านมากว่า 1,550 ปี แต่มันก็กลับดับลงเมื่อสัมผัสกับอากาศ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบครั้งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือของเหลวใสที่ไม่มีใครรู้จัก โดยมันถูกวางอยู่ใต้ร่างของศพ นักวิจัยเชื่อว่าของเหลวพวกนี้น่าจะเป็นสารที่ใช้รักษาศพให้ไม่เน่าเปื่อยในสมัยนั้น

หลุมศพของ Cicero




บนเกาะ Nesis ในเขาอ่าว Naples ได้มีการค้นพบหลุมฝังศพหินอ่อน และเมื่อมันถูกเปิด ภายในก็พบว่าโคมไฟที่ถูกจุดอยู่ยังคงส่องสว่างถึงแม้มันจะผ่านมากว่า 1,500 ปี...140 ปีก่อนคริสตกาล ในบริเวณใกล้เคียงของกรุงโรมไฟก็พบว่า มีการเผาไหม้ของโคมไฟในหลุมฝังศพของ Pallas ลูกชายของกษัตริย์ Evander โดยโคมไฟซึ่งได้รับการจุดมานานกว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมันก็ไม่เคยดับไม่ว่าจะใช้น้ำ หรือใช้ลมเป่ามันก็ไม่หยุดการเผาไหม้ มีวิธีเดียวที่จะดับเปลวไฟนี้ได้ก็คือการระบายน้ำแปลกๆออกจากชามโคมไฟ...

Pallas และ กษัตริย์ Evander
นี่เป็นเพียงตัวอย่างจากหลายๆแห่งที่ถูกค้นพบ และ น่าแปลก ที่โคมไฟเหล่านี้กลับไม่ดับลงมานานกว่าพันปี แต่มันกลับดับลงเมื่อสัมผัสถูกอากาศ หลายคนเชื่อว่า มันเป็นผลมาจากเวทย์มนต์ดำของเหล่าปิศาจ...


ภาพประกอบจากเกมส์ Tomb Raider

หลายครั้งที่มีผู้ที่คิดค้นกรรมวิธีผลิตโคมไฟที่ไม่เคยดับเหล่านี้มาไว้ใช้ในโลกปัจจุบัน แต่ถึงแม้วิทยาการจะล้ำเลิศแค่ไหน ก็ยังไม่มีใครสามารถผลิตมันขึ้นมาได้อีกเลย...
โอ้ว...คนโบราณเก่งกว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ซะอีกนะ....
ที่มา : www.chelsea.in.th/forum/viewtopic.php?f=12&t=45132

รองเท้าลึกลับที่ถูกซ่อนไว้ในกำแพง ที่อียิปต์
Hidden Shoes In Egyptian Temple






นักโบราณคดีค้นพบสิ่งที่ผิดปกติ ของกองสมบัติ ในระหว่างการเดินทางในอียิปต์ในปี 2004 ซึ่งมันถูกบรรจุอยู่ในโถที่วางอยู่ตรงกลางของโถอีกสองอัน และมันถูกตั้งอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งขนาดเล็กระหว่างผนังอิฐ พวกเขาค้นพบทั้งหมด 7 คู่ด้วยกัน มีรองเท้าสองคู่ที่ดูเหมือนเป็นรองเท้าเด็กและรองเท้าที่เหลือเป็นของผู้ใหญ่
  

นักโบราณคดี Angelo Sesana กล่าวว่า "โถใส่รองเท้า" ได้รับการซ่อนมากว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา.....
Andre Veldmeijer ผู้เชี่ยวชาญในรองเท้าโบราณรู้สึกตื่นเต้นกับการค้นพบรองเท้าเหล่านี้ เพราะมันมีสภาพที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบมากกว่าที่เคยค้นพบในยุคสมัยเดียวกัน  เขาวิเคราะห์รองเท้าเหล่านี้ว่า มันน่าจะเป็นรองเท้าของพวกมหาเศรษฐีที่มีราคาแพงและมีความหมายสำหรับฐานะ แต่ความลึกลับของมันก็คือ ทำไมพวกเขาต้องทำการซ่อนรองเท้าเอาไว้ในโถ แล้วยังเอามาซ่อนไว้ในกำแพงอีกชั้น...


สันนิษฐานว่า ตอนนั้นอาจจะเกิดสงคราม หรือ การคุกคามบางอย่าง พวดเขาจึงนำหลักฐานแสดงตัวตนของพวกเขามาทำการซ่อนเอาไว้ หลังจากนั้นก็อพยพหนีออกไปจากที่แห่งนี้.... 
ที่มา : www.tube.9mela.com/download/rbeHLHjYoC8/---10-.html